พลังแห่งการมองด้วยหัวใจ เพื่อเห็นในสิ่งที่เคยมองข้าม
วิธีค้นพบตัวตนและเส้นทางแห่งความสุข
มองด้วยใจ
เป็นหนังสือที่เขียนโดยคุณ Yoshinori Noguchi แปลโดยคุณ ทิพย์วรรณ ยามาโมโตะ
หนังสืออีกเล่มที่อ่านแล้ววางไม่ลง ขอให้เป็นหนังสือโปรดอีกเล่มในดวงใจ จริงๆประทับใจแทบจะทุกตัวอักษรเลยก็ว่าได้ เพราะเหตุการณ์ในชีวิตที่เกิดขึ้น สอดคล้องมากกับสิ่งที่ได้อ่าน และช่วงนี้เราว่าง~มาก ว่างสองเดือน ^^; เลยว่างพิมพ์ 55 จะหยิบยกเอาสักบทในหนังสือเล่มนี้มาแบ่งปัน
ฝึกฝนวิธีการพูด
ในชีวิตประจำวันเราใช้คำพูดในการสื่อสารกันอยู่เสมอ คุณเคยลองคิดบ้างไหมว่า คำพูดเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อชีวิตเรามากเพียงใด
คำพูดมีพลังทำให้ชีวิตของเราสมบูรณ์และมีความสุขได้ และยังส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของเราหรือทำร้ายผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเราจึงต้องใช้คำพูดอย่างมีสติเพื่อรับรู้ถึงอิทธิพลของคำพูด เช่นเดียวกับนับรบซามูไรที่รับรู้ถึงอันตรายจากดาบ
ผมขอถามสักหนึ่งคำถามนะครับ คุณทราบหรือไม่ว่า ใครที่คอยรับฟังคำพูดคุณทุกๆวันแบบไม่พลาดเลยแม้่แต่คำเดียว ใช่แล้วครับ คนคนนั้นก็คือตัวของคุณนั่นเอง
มีคนบอกว่า "มนุษย์เป็นสัตว์ที่ถูกล้างสมองด้วยคำพูดของตัวเอง" คำพูดคุณจะแทรกซึมเข้าสู่จิตใต้สำนึกของคุณ และส่งผลกระทบต่อความคิดของตัวคุณเองเป็นอย่างมาก
หากคุณใช้คำพูดที่คอยหาเรื่องหรือวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเป็นประจำ คุณก็จะมีความคิดที่หาเรื่องและวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น ทำให้ต้องมีชีวิตที่ต่อสู้แข่งขัน และหากใช้คำพูดในแง่ร้ายเป็นประจำคุณก็จะมองทุกอย่างในแง่ลบไปเสียหมด ทำให้มีความคิดแง่ลบต่อชีวิต
ในทางกลับกัน หากคุณพยายามใช้คำพูดที่ร่าเริงแจ่มใส หรือใช้คำขอบคุณอยู่เสมอ กลไกการคิดแง่บวกก็จะเกิดขึ้น ทำให้ดำเนินวิถีชีวิตในแง่บวกได้
บางคนอาจกังวลว่า "ฉันเป็นคนคิดในแง่ลบแต่ไหนแต่ไร แม้จะพยายามคิดในแง่บวก แต่ก็ลืมตัวคิดในแง่ลบทุกที"
รูปแบบการคิดของคุณฝังอยู่ในเบื้องลึกแห่งจิตใจของคุณแล้ว เพราะฉะนั้นความพยายามมีสติรับรูปไม่อาจเปลี่ยนแปลงความคิดได้ในทันที
ดังนั้นจุดเริ่มต้นคือคำพูดนั่นเอง แค่ลองเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงคำพูดของคุณก่อน แม้จะเปลี่ยนรูปแบบการคิดไม่ได้ในทันที แต่เราสามารถเปลี่ยนคำพูดได้หากมีสติรับรู้
*-*-*
ก็คงหมายถึงการคิดดี พูดดี ได้ดีล่ะนะ แต่เราว่าหายากอยู่นะคนที่จะทำได้แบบนั้น ถ้าตราบใดที่รอบกายยังมีแต่คนที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี เพราะสภาพแวดล้อมค่อนข้างสำคัญเหมือนกัน =w=
ฉันเองก็ผ่านความผิดหวังมามาก ก็คงเหมือนกับใครหลายๆคนที่ได้พบเจอกับคนที่จริงใจและไม่จริงใจ คนๆนั้นที่ทำร้ายครอบครัวฉันน่ะ ด้วยคำพูด และการใส่ร้าย เขาเคยเป็นถึงครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือฉัน และเป็นครูคนแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า ภาษาอังกฤษมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าเราลองตั้งใจและใส่ใจมัน ฉันได้เรียนกับเค้ามาประมาณสามเดือน มันทำให้ฉันสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนเต็ม มันเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยมั้งนั่น!!(และครั้งเดียว! แปร่วว~) ความชื่นชมในตัวของครูก็ยังมีเสมอมา ฉันมักจะเอาภาษาอังกฤษที่ไม่เข้าใจโทรไปถามเค้าบ่อยๆ แต่แล้วอะไรหลายๆอย่างมันก็เริ่มเปลี่ยนไป เนื่องจากงานใน"มูลนิธิฯ" ที่ต่างคนต่างแก่งแย่งชิงดี และอยากจะทำในตำแหน่งที่ให้คนนับหน้าถือตามากที่สุด ตำแหน่งที่ครูคนนั้นอยากทำก็คือตำแหน่งงานที่แม่ของฉันได้ทำ...แรงกดดันแรงบีบ ข้อกล่าวหาที่ยัดเยียด เรื่องราวมากมายที่คุณแม่ได้เจอ ทำให้คุณพ่อที่เป็นคนใจเย็น ตลกโปกฮายังต้องหงุดหงิด และพูดกับฉันว่า แม่น่ะเป็นคนที่อดทนมากที่สุด ในที่นี้พวกเราในครอบครัวรู้ดีว่าพ่อหมายถึงอะไร อดทนกับการแกล้งใส่ร้าย และคำพูดคำจากที่หักหามน้ำใจ การเห็นแก่ตัว ครอบครัวฉันทำบุญกับใครไม่ค่อยขึ้น นั่นคือสิ่งที่พวกเรารู้กันดี แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะท้อกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมา "ขอบคุณเขาให้ได้" นั่นคือสิ่งที่คุณแม่คุณพ่อมักจะพูดกับฉันและพี่ชายเสมอ ในตอนที่เกิดเรื่องแรกๆฉันรู้สึกว่าขอบคุณไม่ลง ในจิตใจฉันมีแต่อยากจะสาปแช่งพวกมัน พวกหน้าเนื้อใจเสือที่นับจากนี้ไปฉันจะไม่แม้แต่จะชายตามองและยกมือไหว้ ยอมรับเลยว่าตอนเกิดเรื่องน่ะ ทำให้รู้สึกว่า ทำให้ดีให้ตายก็ไม่มีใครมองใช่มั้ย? ต้องทำชั่วแบบพวกมันเหรอถึงได้รับการยอมรับ? ฉันเชื่อว่าเวรกรรมมีจริง...ใช่...ฉันยังคงเชื่ออยู่ เพราะอย่างน้อยๆมันก็ส่งผลให้ครอบครัวของคนที่ทำร้ายครอบครัวฉันมันเริ่มไม่มีความสุข ครอบครัวของพวกนั้นมันทำธุรกิจคอมพิวเตอร์...เมื่อหลายปีก่อน ขนาดเห็นว่าธุรกิจของเขาไม่ค่อยจะดี คุณพ่อคุณแม่ของฉันยังมีน้ำใจอุดหนุนคอมพิวเตอร์ให้มัน (คอมบ้านกุมีสี่เครื่องแล้ว! รวมของมึงที่อุตส่าซื้อก็ห้า) แต่เชื่อป่ะ...พอเปิดไส้ในของคอมมา เชี่ยยยย!!! ย้อมแมวขายกุ พี่ชายกุก็เรียนจบคอม พี่เล็กที่มาดูให้ยังบอกเลยว่า เลวสัด! เพียงแต่ตอนที่ซื้อคอมน่ะ พี่ชายไม่ได้อยู่ด้วย เราเองก็ไม่ว่าง คุณพ่อเลยให้มันยกคอมมาตั้งที่บ้านเลยเป็นคอมตัวกลางของบ้าน...แม้แต่คนที่รู้จักมันยังทำได้ขนาดนี้ นับประสาอะไรกับคนอื่นที่เค้าจะไม่ย้อมแมวขาย และนับประสาอะไรกับความชิบหายที่พวกนี้จะได้เจอ เป็นความอัดอั้นที่ได้ระบายออกไปบ้าง มันก็รู้สึกดีเหมือนกัน พวกเลวบริสุทธิ์ เลวโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเลว และยังคงมุ่งหน้าในการทำเลวต่อไป...ในมูลนิธิ เค้ามักจะบอกคนอื่นว่า ให้รักผู้อื่น ตามคำสอน แต่ตัวของเขาจะรักใครได้ ได้แต่อิจฉาทำร้ายและใส่ร้ายครอบครัวคนอื่น กี่รายมาแล้วล่ะที่ต้องทนกับมัน...
คนประเภทนี้ต่อให้ใช้ตาที่สามมอง (มองโดยใช้ใจ) ฉันไม่อยากจะคิดว่าจะเห็นอะไรในตัวเขา ขอหลีกเลี่ยงหนีให้ไกลอย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย...
No comments:
Post a Comment