今日はとてもつまらない

ปี 2012 แล้ว ไม่ได้สวัสดีปีใหม่กับใครเลย ยังอยู่ในสภาวะช็อค

ยังไงก็ "สวัสดีปีใหม่ ทุกๆคนนะคะ" มันคงไม่ช้าเกินไปนะ

วันนี้คุณแม่ของพี่นัท โทรมาขอบใจสำหรับเงินทำบุญที่เราส่งไปช่วย

คุณแม่บอกว่า วันที่พี่นัทเสีย คุณแม่พยายามติดต่อเราแล้ว แต่ไม่ติด

แล้วคุณแม่จะทำบุญ ระลึกถึงพี่นัทในวันเกิดของพี่นัท วันที่ 13 มีนา

ถึงจะยังไม่ถึง 100 วันก็ตามที เราได้เล่าให้คุณแม่ฟังด้วยว่าเราฝัน

ถึงพี่นัท จริงๆรู้สึกถึงพี่นัทตั้งแต่วันที่ 2 แล้วล่ะ โปรดใช้วิจารณญาณ

ในการอ่าน แต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของเราเอง เราทำบุญให้กับพี่นัท

สวดมนต์ ตามศาสนา และความเชื่อที่เรานับถือ เปิดบัญชีให้กับพี่นัทด้วย

ช่วงที่เราอธิษฐานถึงพี่นัทว่า ถ้ารับรู้ได้ถึงสิ่งที่เราทำ ความรัก ความคิดถึง

ขอให้พี่นัทมาหาพิ หรือมาเข้าฝัน หรือมาทำอะไรก็ได้ให้พิได้รับรู้

ว่าพี่นัทรู้สึกถึงสิ่งที่พิทำ แล้วก็เข้านอนอีกรอบในช่วงเช้า หลังจากไม่หลับ

มาแล้วทั้งคืน มารู้สึกตัวประมาณ 10 โมงเช้าเห็นจะได้ รู้สึกเหมือนมี

คนมาปลุก เรามองไปรอบๆห้องก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ที่แขวนกุญแจข้าง

ตู้เสื้อผ้าของเรา...พวกกุญแจรถหมุนเองได้ พวงกุญแจเป็นไม้

หมุนให้เห็นทั้งด้านหลัง หมุนไปหมุนมา เราก็มานอนคิดว่า ลมแรงหรือไง

แต่...ตั้งแต่จัดห้องนอนใหม่ เราก็ไม่ได้เปิดหน้าต่างห้องนอนมาเป็นชาติ

แล้วนะ พัดลมก็ไม่มีทางพัดให้พวงกุญแจหมุนได้ เพราะมันอยู่ไกลกัน

หมุนอยู่ประมาณ 2 นาทีได้ก่อนจะหยุด ตอนนั้นยังไม่ได้คิดถึงพี่นัท

เพราะยังอึ้งๆอยู่...แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นพี่นัทแน่ๆที่มาสื่อสารกับเรา ;_;


วันที่ 7 ในที่สุดเราก็ฝันถึงพี่นัท ไม่เห็นตัวพี่นัทแต่ได้ยินแค่เสียง

ช่วงที่พี่นัทพูดกับเรา เราปวดหูมากเลยล่ะ ในฝันเราถามว่าพี่นัทอยู่ไหน

น้ำเสียงพี่นัทสั่นเครือ เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกัน พี่นัทตอบว่า

พี่นัทอยู่ที่ๆไกลมาก กำลังจะไปรวมตัวกับเค้า...

สงสารคุณแม่ของพี่นัท ยังร้องไห้อยู่เลย เป็นหวัดด้วยอีก

ยังไงพิก็จะเป็นกำลังใจให้นะคะ...




ถ้าให้มองย้อนกลับไปดู ถึงแม้มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

แต่มันก็อดที่จะคิดไม่ได้ ว่าตัวของเราน่ะแย่แค่ไหน สร้างความ

เดือดร้อนใจให้ใครคนอื่นเป็นว่าเล่น เราไม่เคยคิดมากก่อน

ว่าการเป็นตัวเองที่เป็นแบบนี้ บางครั้งใครหลายๆคนเค้าก็อึดอัด

เราพยายามแล้วนะ แต่การคบกับใครก็ตาม หรือการมีเพื่อน

จริงๆมันเป็นเรื่องที่เราไม่สันทัดเอาซะเลย


พยายามจะไม่เล่าเรื่องตัวเองให้ใครฟังแต่บางครั้งมันไม่มีที่ระบาย

มันก็ต้องมีบ้างใช่ป่ะ ที่จะพูดอะไรออกไปบ้าง บางคำพูดก็เป็น

ความรู้สึกที่ค่อนข้างจะร้ายกาจน่าดู แต่เพราะเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ

มีความรู้สึกนึกคิด ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะทนอะไรได้ทุกอย่าง


วางตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน บางครั้งที่ถูกคนรอบข้างเรียกร้อง

ถ้าพูดออกไปทุกทีก็มีแต่ขัด แล้วจะมาขอความเห็นกับคนอย่างฉัน

ไปเพื่ออะไร...


ถ้าการคบกันคือการตีกรอบความสัมพันธ์ตั้งแต่แรก

มันคงไม่มีความหมายอะไรถ้าเราจะคบกันต่อด้วยความรู้สึกอึดอััด

มีหูถึงสองหู ปากมีแค่ปากเดียว จะช่วยฟังมากกว่าพูดไม่ได้เชียวหรือ



ความรู้สึกผิดหวังเหมือนกับตอนได้เจอนักเขียนที่ชื่นชอบ

มันดีใจมากซะจนไม่รู้ว่าเราแสดงท่าทีอะไรออกไปบ้าง ขอถ่ายรูป

ขอลายเซ็น...แต่ก็ได้ท่าทางตอบรับที่เหนื่อยหน่ายกลับมา

และคำพูดคำจาที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไร ความรู้สึกเกินร้อยในตอนนั้น

ลดลงเหลือแค่ห้าได้มั้งนั่น =_= มันไม่มีอะไรเป็นได้ดั่งใจหวัง

จริงๆสินะ ให้ตายเถอะ


แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า โชคดีที่ยังได้มีชีวิตอยู่ ก็คงเป็นครอบครัว

ที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ เมื่อช่วงต้นปี จริงๆทะเลาะกับคุณพ่อค่อนข้าง

แรงเหมือนกัน ทั้งๆที่เอาเหตุผลกับเหตุผลคุยกันแล้ว แต่พ่อก็ยังทำ

ให้เรารู้สึกตัวเองว่าเราเป็นคนโง่ งี่เง่า...วันนั้นร้องไห้ไปแล้วล่ะ

คุณแม่คงไปเล่าให้คุณพ่อฟัง วันต่อมาคุณพ่อเลยโทรศัพท์มาขอโทษ

เรา...อยู่บ้านเดียวกัน คนละห้อง แต่โทรมา?? แต่ก็ดีใจล่ะ

อีกไม่นานก็จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ไม่อยากโกรธกันหรอก






ได้ของขวัญส่งท้ายจากแมว ขอบคุณมากๆเลย มันวาบหวิวมากๆ

ใส่ไปแล้วอายตัวเองมาก 55 แต่จะใส่ล่ะ ตอนนี้เปลี่ยนเป้าหมายแล้วนะ

จะใส่ให้พี่เสือดู ขอไปเก็บเงินก่อนแล้วจะเลี้ยวกลับมาญี่ปุ่น 55 ว่าไปนั่น

เปิดศักราชใหม่ด้วยการพล่าม และพล่าม...คนไม่มีใครก็ต้องมาคุย

กับตัวเองระบายลงบล็อคไปล่ะนะ :( เอ้อ...เราตัดผมแล้ว

แมนมาก...เหมือนทอมนะฮะ เลย =__=

No comments: