อยากขอบคุณหนังสือ The secret II ที่ทำให้เราเข้าใจ และจิตใจสงบลง เราใช้เวลานั่งอ่านต่อ หลังจากที่ไม่ได้อ่านมานานจนจบเล่ม ได้แนวทางในการคิด และทำใจให้สงบขึ้นเยอะเลย...เราอยากจะยกบทความบางตอนมาให้อ่าน ซึ่งมันน่าจะช่วยใครหลายๆคนที่แวะมาที่บล็อคเรา และสามารถช่วยเหลือทางด้านจิตใจพวกเขาได้บ้าง ลองอ่านกันดูนะ...
แน่นอนว่าในชีวิตของคนทุกคนจะต้องประสบพบเจอกับคนที่ไม่ดีที่มาทำร้ายทั้งกาย วาจา และใจ การจะไปขอบคุณทั้งๆที่เป็นฝ่ายถูกทำร้ายคงต้องฝืนใจน่าดู แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งจะเกิดความรู้สึกขอบคุณที่เขาทำให้เราเข้าใจจริตของมนุษย์มากขึ้น ขอบคุณที่ทำให้เรารู้ว่าโลกไม่ได้บริสุทธิ์อย่างที่คิด จิตมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ต่อไปจะได้ระวังตัวมากขึ้น ความรู้สึกนี้จะทำให้เกิด "การให้อภัย" การให้อภัยไม่ใช่การเปลี่ยนคนไม่ดีให้เป็นคนดี
แต่การให้อภัยเป็นการถอนพิษร้ายที่ถูกคนไม่ดีฝังไว้ในใจของเราออกไป ในขณะเดียวกันก็เกิดสติปัญญาในการแก้ไขปัญหา หรือป้องกันตัวได้มากขึ้น สามารถพัฒนาตนไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า โดยที่ไม่ไปยุ่งเกี่ยวข้องแวะกับคนแบบนั้นอีก วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้นิสัยคนคือการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ที่สำคัญคือต้องเรียนรู้ด้วยสติ และมองไปที่นามธรรม เช่นความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความโลภ ฯลฯ อย่าไปยึดติดกับตัวตนหรือรูปธรรมของคนที่มีนิสัยแบบนั้น แต่ให้จำลักษณะทางนามธรรมไว้ เพราะจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับคนอื่นๆได้ เมื่อเกิดปัญญา จะพบว่า ถ้ามีโอกาสได้พบพูดคุยกับคนแปลกหน้าเพียงไม่กี่ครั้ง สติก็จะจับได้ว่าคนนั้นมีโลภะ โทสะ โมหะ ราคะ ฯลฯ ระดับไหน และบอกให้เราหลีกเลี่ยงอัตโนมัติ
การให้อภัยคนไม่ดีไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้เขากลับมาทำร้ายได้อีก แต่จะทำให้เรามีกำลังสติสูงขึ้น ความคิดรอบคอบมากขึ้น เพราะการให้อภัยเกิดจากสมองซีกขวา เมื่อไม่มีความคับแค้นความโกรธมากดทับการทำงานของสมองซีกนี้ จะเกิดปัญญาและสามารถวางแผนไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดซ้ำ การให้อภัยไม่ได้ทำให้ลืมชื่อคนที่เคยทำไม่ดีกับเรา เพราะการจำชื่อได้เป็นเรื่องของสมองซีกซ้าย ดังที่จอนห์น เอฟ เคนเนดี เคยกล่าวไว้ว่า "จงยกโทษให้ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด" หมายความว่า จงตัดความแค้นออกจากสมองซีกขวา ในขณะเดียวกันก็บันทึกชื่อไว้ในสมองซีกซ้าย
เมื่อเช้าบุกไปไปรษณีย์พร้อมกับผู้ปกคอง ไปรษณีย์เค้าก็ยอมขอโทษแล้วนะ แถมยังตอกย้ำเราด้วยอีกว่า
"1 ใน 100 เท่านั้นล่ะครับที่ของจะหาย ก็ถือว่าซวยไป" เออเอาเข้าไป เราก็บอกพวกไปรษณีย์ไปอีกด้วยนะว่า ถ้าทำของหายน่ะ รีบมาบอกเลย ไม่ต้องกลัว จะปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาทำไมหนึ่งอาทิตย์ มาถึงตอนนี้มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ของก็หมดไปแล้วด้วย หมดแล้วหมดเลยไม่มีอีกแล้ว T_T ที่ต้องบุกไปพูด และขอความกระจ่างกับการทำงานแบบจับฉ่าย เพราะไม่อยากให้เหตุการณ์มันเกิดขึ้นกับใครคนอื่น หรือเกิดขึ้นกับเราอีก...เราคนหนึ่งล่ะไม่เอาอีกแล้ว เรื่องการให้ไปรษณีย์มาส่งของที่บ้าน เราบอกเลยว่าถ้ามีของมาบ้านเลขที่นี้ ขอเลยนะว่าอย่ามาส่ง พวกคุณแค่มาเขียนจดหมายบอกก็พอ จะไปรับเอาเอง เราไม่กล้าเอาอะไรมาเสี่ยงอีกแล้ว ของทุกอย่างมันมีค่าหมด...สำคัญที่สุดเลยคือเรื่องจิตใจ...
ในหนังสือบอกอีกด้วยนะว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เรารู้สึกทุกข์ใจ หรือว้าวุ่นกังวล สิ่งๆนั้นมันคือกรรมเก่า...ถ้าเราสงบ และปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปได้ นั่นก็ถือว่าเราผ่านวาระกรรมไปได้อีกหนึ่งวาระ (เข้าท่าแฮะ)...เขาจุดตรงนี้มาทำให้ใจสงบก็ดีเหมือนกันนะ เราคนหนึ่งล่ะที่จะสงบให้มากขึ้น เฮ้อ~....จะทำได้สักกี่น้ำกันนะ
เมื่อเจอปัญหาพยายามทำใจให้เย็น ความใจร้อนมักจะแฝงไปด้วยโทสะ โมหะ โลภะ ซึ่งจะทำให้มองไม่เห็นปัจจัยตามความเป็นจริง และความใจเย็นจะทำให้ช่วงเวลาของการแก้ปัญหายาวนานขึ้น แม้ว่าบางครั้งความใจเย็นอาจพลาดโอกาสที่ดีไป เช่นนักเล่นหุ้นที่ไม่ทันซื้อหุ้นขณะกำลังพุ่งขึ้น ทำให้เกิดอาการเสียดาย แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าใจร้อนแล้วตัดสินใจซื้อผิดพลาดจะเสียใจ เพราะเสียดายเป็นเรื่องของสมองซีกซ้ายอันเกิดจากการเปรียบเทียบ แต่เสียใจเป็นเรื่องของสมองซีกขวา ซึ่งสามารถลงลึกถึงจิตใต้สำนึก ความเสียดายจะเกิดขึ้นเพียงไม่นานเพียงไม่กี่วัน แต่ความเสียใจจะฝังเป็นเวลาหลายๆปี หรือบางครั้งถึงขนาดข้ามภพข้ามชาติ ความเสียดายเป็นเรื่องของความคิดซึ่งอยู่ในสมอง แต่เสียใจเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ
วันนี้มาแนวดราม่าอีกแล้วแฮะ 555 เสียทั้งดาย และเสียทั้งใจ เอ๊า Die ออกมารับผิดชอบหน่อยสิ
Toshiya : พี่ Die ไม่อยู่จ่ะ อยู่แต่พี่ Tot ยิ้มให้ได้แบบพี่ Tot รูปนี้นะ
(หน้าตาออกแนวเหมือนเห็นของดีนะ 5555++)
ก๊ากกกก
Die : ใครว่าพี่ไม่อยู่จ๊ะ ยิ้มมันต้องแบบนี้~
(ฮึก...ไม่นะ บาดใจ >_< พี่ Die น่ารักจัง อย่าทำให้รู้สึกดีไปมากกว่านี้ได้มั้ย 5555+ จะทนไม่ไหวแล้วนะ)
ใกล้จะปีใหม่ไทยละ ขอให้ได้เจอแต่สิ่งดีๆด้วยเถิด~ >_<
No comments:
Post a Comment