วันนี้อยากพูดเรื่องภาษาอังกฤษ...=_= พูดเรื่องความไม่เอาไหน และความไม่เอาอ่าวของตัวเองเลยดีกว่า ถ้าใครที่บังเอิญผ่านมาพบเห็นแล้วอ่านบล็อคของข้าพเจ้าเข้า ก็ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า มันก็แค่เรื่องระบายของคนๆหนึ่ง ที่เอาดีอะไรสักอย่างในชีวิตไม่ได้สักที ไม่ได้หวังให้ใครมาสนใจกับข้อความดังต่อไปนี้ แต่มันจะมีที่ไหนที่ระบายได้ดีที่สุดถ้าไม่ใช่บล็อคของตัวเอง จริงมั้ย ?ตั้งแต่ประถมมาเลย ตั้งแต่ที่ทำกิจกรรมอย่างหนักหน่วงด้วยการไปแข่งขันกีฬา (วิ่ง) เพราะเป็นตัวแทนของโรงเรียน และไหนจะอยู่วงดุริยางค์อีก ทำให้เราแทบจะขาดเรียนคาบสุดท้ายแทบจะทุกๆวัน เพราะต้องเอาเวลาตรงนั้นไปซ้อมกีฬา ไหนจะซ้อมดนตรีอีก และการขาดเรียนนั่นล่ะ มันคือวิชาภาษาอังกฤษซะด้วย >0< เราไม่อยากจะโทษใครทั้งนั้น เพราะความไม่ใส่ใจของเรานี่เองล่ะ...จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งครูให้แต่งภาษาอังกฤษ เชื่อมั้ย เราแต่งภาษาอังกฤษแบบ...ทุกคำทุกตัวอักษรเรียงติดกันหมดเลย ครูเค้าก็กากบาทมาตัวใหญ่ๆเต็มหน้ากระดาษเลย เราก็เอามานั่งงง (กูผิดตรงไหน ทำไมไม่บอกกู) พอเอาไปถามเพื่อนมันก็นั่งหัวเราะเราเป็นวรรคเป็นเวร ภาษาอังกฤษบ้านป้ามึงเหรอติดกันแบบนี้ (เอ๊า! แล้วทีภาษาไทยมันยังติดกันเลย กูจะรู้มั้ยไม่ใช่ภาษาพ่อแม่กู) ทำได้แค่แอบน้อยใจมัน แล้วก็นั่งลอกของมันไปส่งครูใหม่ T_T แล้วพอมามัธยม...เรา...ถูกครูภาษาอังกฤษเรียกเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว "จบไปเธอจะทำอะไร เธอจะเรียนอะไร แล้วเธอจะทำงานอะไร" นี่คือประโยคแรกที่ครูพูดกับเรา แอบเคืองๆนะ แค่ได้คะแนนน้อยกว่าชาวบ้านเค้านิดหน่อยเอง พูดถึงขนาดนี้เชียวรึ! เราก็ตอบไปว่า "หนูชอบดนตรีค่ะครู หนูอาจจะเอาดีทางนั้น =_=" ครูก็มองเราด้วยสายตาแบบเย้ยหยัน แล้วก็ไล่เราออกไป เจ็บใจนะตอนนั้น แค่ไม่ได้ภาษาอังกฤษใช่ว่าชีวิตมันจะชิบหายสักหน่อย อย่างน้อยศัพท์พื้นๆเราก็พอได้นะ T_T อย่าง fuck you หรือ fuck off ไรแบบนี้...คนเรามันเกิดมาระดับสมองไม่เท่ากันนี่หว่า ทำบุญมาน้อยความรู้มันก็เลยน้อยตามมาด้วย (สมัยนั้นเราคิดว่าเรารู้ศัพท์ภาษาญี่ปุ่นมากกว่าอังกฤษอีก =_=) และพอจบมัธยมแม่ก็ส่งเราไปเรียนกับป้า...อยากจะบอกว่าที่เรียนมาทั้งชัีวิตไม่เคยรู้เรื่องเลย พอมาเรียนกับป้าแค่เดือนเดียวเท่านั้นล่่ะ ทุกอย่างมันเหมือนกับเริ่มจะชัดเจนและแจ่มแจ้งขึ้น ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจหมด แต่ก็พอจะทำให้เรารู้ว่ากริยาสามช่องมันใช้ยังไง =_= แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างเท่าไร เพราะป้าจะต้องย้ายกลับไปต่างจังหวัด เราจึงไม่มีโอกาสได้เรียนกับป้าอีก จะมีโอกาสได้คุยกับป้าก็ไม่กี่ครั้งเอง เพราะป้างานยุ่งด้วย >.< และช่วงนั้นแม่ก็พาเราไปทำเรื่องติดต่อที่จะไปเรียนทางด้านดนตรีที่ญี่ปุ่น(ทดลองเรียนก่อน 6 เดือน) มันทำให้เราได้มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษเท่าหางอึ่งของเราในการติดต่อกับครูทางเมล์มากกว่าขึ้น ไม่อยากเชื่อว่าพอได้เจอหน้ากับครู ครูเค้าถามว่าให้ใครส่งเมล์ให้เหรอ ไอ้เราก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ กลัวเขาจะบอกว่าไม่รู้เรื่อง แม่เราก็เลยบอกพี่ที่เป็นล่ามว่า น้องเค้าส่งเอง ครูเค้าชมเราด้วยว่า ถึงแม้จะใช้ศัพท์ง่ายๆ แต่ก็เป็นการใช้ประโยคที่ดีมากๆ สรุปก็คือครูเค้ารู้เรื่องและเข้าใจที่เราบอกไปทางเมล์นั่นล่ะนะ T__T ครูเค้าบอกว่าเรียนดนตรีน่ะใช้ภาษาอังกฤษเรียนได้เลย เพราะเรามีครูที่สอนเป็นภาษาอังกฤษได้ T_T ก็เพราะอย่างงี้ไงล่ะ เราถึงต้องมาทุ่มให้ภาษาอังกฤษ และดนตรีมากขึ้น ทั้งๆที่เกลียดภาษาอังกฤษมาตลอดเพราะมันทำให้เราต้องถูกเพื่อนหัวเราะ และไหนจะถูกครูมองด้วยสายตาเหยียดหยันดูถูก แม่เราก็บอกว่าเกลียดอะไรได้อย่างงั้นล่ะ T_T อาจจะใช่นะ เพราะตอนนี้เราเริ่มจะชอบภาษาอังกฤษมากขึ้น ถึงแม้จะรู้แค่ 75% ในประโยคๆหนึ่ง แต่อย่างน้อยมันก็ดีกว่าสมัยก่อนมากล่ะ...ผ่านมาแล้วจนถึงปัจจุบัน =_= ภาษาอังกฤษก็เหมือนกับลอยอยู่ในโอ่งมันไม่ไปไหนสักที จนแม่ติดต่อให้เราได้เรียนกับคุณครูนิค เป็นชาวอังกฤษ >0< โชคดีจริงๆที่ได้เรียนกับครู ขอบคุณเสมอที่เข้าใจในความบื้อ และความรู้น้อยของพวกเรานะคะครูนิค ครูเป็นครูที่ดีที่สุดในชีวิตเท่าที่เคยมีมา เพราะครูเป็นเหมือนเพื่อน >_< สนุกมากเลยที่ได้เรียนกับครู
แต่ขอโทษนะพี่นัท ที่พิคงไม่มีปัญญาแปลบทสัมภาษณ์ Dir มากมายเหล่านั้นไปลงเว็ปได้ เพราะนอกจากพิจะไม่มีเวลาแล้วพิยังไม่มีปัญญาด้วย ถ้าให้พิอ่านคนเดียวพิพอจะเข้าใจได้แบบคร่าวๆ แต่จะให้พิแปลออกมาเป็นภาษาเขียนพิกลัวว่าคนอื่นเค้าจะไม่เข้าใจ(เพราะมันคงมั่ว) และพิเชื่อว่าเด็ก Dir หลายคนหัวสมองเค้าไบร์กันมาก เสียใจนะบางครั้งที่ไม่สามารถช่วยพี่นัทได้ ทั้งๆที่พี่นัทพูดออกมาเต็มๆปากแบบนั้นว่าอยากได้บทสัมภาษณ์ที่แปลแล้วไปลงมาก เพราะอยากให้คนเข้าเว็บกันเยอะๆ...แล้วพอพิบอกว่าถ้าพิแปลพิอาจจะแปลได้ 75% แล้วพี่นัทพูดว่า...กำ =_= รู้ป่าวว่าพิแอบเสียใจเหมือนกันนะ มันเหมือนถูกดูถูกด้วยคำพูด ความรู้สึกสำหรับพิเหมือนกับมีคนเอารองเท้ามาฟาดหน้า แต่พิก็พอจะเข้าใจ เพราะพี่นัทใช้คำนี้เป็นคำสบถบ่อยๆ (ไม่ชอบคำนี้เลยจริงๆ ขนาดพยายามลองใช้ดูบ้างเผื่อจะชอบมัน พิก็ยังไม่ชอบไอ้คำๆนี้อยู่ดี) แต่ว่าเรื่องนี้มันก็ยังคงเกาะกินใจพิเสมอๆ มันสลัดไม่ออกสักที และมันคงไม่หาย พิไม่อยากเอาปัญญาอันน้อยนิดของพิไปอาจเอื้อมแปลบทสัมภาษณ์ให้คนที่รู้ภาษาอังกฤษมากกว่าพิได้อ่านหรอก พิไม่ได้ดูถูกตัวเอง แต่เป็นเพราะว่าพิรู้ลิมิตความสามารถของตัวเองมากกว่า ถ้าอันไหนพิทำได้ พิบอกเลยว่าพิจะทำให้ทุ่มเทให้ทุกอย่างทั้งใจ แต่ถ้าอันไหนทำไม่ได้ก็คือมันคงไม่มีวันทำได้ ไม่ได้หวังให้พี่นัทมาอ่านเจอหรือว่าแคร์กับสิ่งที่พิเขียน พิแค่อยากจะพูดเฉยๆว่า พิได้รับความรู้ภาษาอังกฤษมาแบบไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกแล้ว แต่พิต้องเดินหน้าเข้าหาสิ่งที่พิไม่ชอบและเกลียดมันเข้าไส้...ซึ่งความเกลียดมันก็ใกล้จะกลายเป็นรักแล้ว...
เหมือนอย่างที่พี่แคทเคยขึ้นไว้ในหัว facebook เลย ใครเค้าจะอยากมานั่งฟังความทุกใจของเรา เพราะทุกคนเค้าก็อยากที่จะได้ยินเรื่องสนุกๆจากเรากันทั้งนั้น เข้าใจพี่แคททุกข้อความ เพราะมัีนแอบตรงกับเราหมดเลย T_T สมัยก่อนที่ยังเล่น m คุยกับพี่แคทบ่อยๆ เราก็มักจะไปเล่าเรื่องแย่ๆให้พี่เค้าฟังเสมอๆ ยังขอบคุณมากถึงทุกวันนี้ ที่ทนรับฟังเราได้ จำได้ตอนนั้นทั้งๆที่พี่เค้าบอกว่าไม่มีเวลาต้องทำงาน แต่พอเราบอกว่ามีเรื่องไม่สบายใจ >.< พี่แคทบอกว่า งั้นอยู่ต่อฟังก่อนก็ได้ T_T ดีใจมากเลย รู้สึกเหมือนมีคนอยู่ข้างๆ ขอบคุณมากมายนะพี่แคท >_<
พิไม่กล้าหรอกนะที่จะพูดว่าพิไม่พอใจข้อความหรือคำพูดประโยคไหนของพี่นัท ถึงแม้พี่นัทจะบอกว่าให้บอกก็เถอะ เรื่องแบบนี้มันยากเหลือเกินที่จะพูดออกมาได้ บางครั้งมันไม่สมควรที่พิจะตัดสินอะไรๆด้วยความรู้สึกของตัวเองด้วย และบางครั้งพิคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับพี่นัท เพราะพี่นัทมีหลายอย่างที่ต้องทำ และมีเรื่องไม่สบายใจหลายอย่าง ไหนจะสุขภาพพี่นัทที่ไม่แข็งแรงอีก บางครั้งการไประบายของพิมันก็เหมือนเป็นการรบกวนซะมากกว่า พิไม่อยากบั่นทอนสุขภาพของคนที่พิแคร์ และสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่มีวันหลุดออกมาจากปากของพิอีกเด็ดขาด พิไม่อยากที่จะรบกวนพี่นัท พี่นัทมีเพื่อนมีมิตรภาพมากมาย มีน้องที่รักและแคร์พี่นัทอย่างจริงใจ พิแอบอิจฉานะ เพราะพิมีคนที่พิจะเรียกว่าคบกันด้วยจริงใจและสนิทใจได้อยู่ไม่กี่คน พิคงเขียนขอบคุณใครหลายๆคนแบบพี่นัทไ่ม่ได้ด้วย เพราะพิมีคนที่จริงใจกับพิไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ 555++ และถึงแม้พิจะพิมพ์อะไรไปทาง m พิรู้เลยว่าพี่นัทไม่ได้อ่านมันหมด ถึงแม้พี่นัทอ่าน พี่นัทก็ไม่ได้ตอบทุกข้อความของพิ มันก็เลยทำให้พิรู้สึกว่า อือ...ไม่จำเป็นหรอกที่เราจะต้องเล่าเรื่องทุกข์ใจของเราออกไป ไม่จำเป็นหรอก ที่ต้องระบายออกไปให้พี่เค้ารู้สึกแย่ ไม่จำเป็นอีกแล้วที่จะเล่าความทุกข์อะไรออกไปให้ใครฟัง เพราะคนที่จะอยู่กับความทุกข์และแก้ความทุกข์เหล่านั้นได้มันจะเป็นใครถ้าไม่ใช่ตัวของเราเอง...
ง่ะ...เราพิมพ์อะไรไปบ้างเนี่ย =_= เออ ก็ตามหัวข้อ แค่ระบาย ที่ต้องมาพูดเรื่องภาษาอังกฤษแล้วโยงไปถึงแม่น้ำทั้งห้านี่ก็เพราะว่าเมื่อสองวันก่อนต้องมานั่งช่วยน้องมันทำภาษาอังกฤษนี่สิ =_= ชีสสองเทอมจะให้มาทำจบภายในวันเดียวได้ยังไง ทั้งๆที่บอกไว้แล้วว่าไม่อยากจะยุ่งด้วย เพราะไม่อยากให้อภัยพวกทำผิดซ้ำผิดซ้อน แต่ก็ต้องช่วยจนได้ T_T ทำไปก็ปวดหัวไป เกือบสิบแผ่นได้มั้ง แล้วให้เขียนเยอะๆทั้งนั้น @_@ ตาลายปวดหัว น็อคเลยวันนั้น >[]< มาตอนนี้ก็เริ่มจะน็อคอีกรอบ แต่ว่าต้องเล่นเกมส์แก้เครียดสักหน่อย (เอาเข้าไป)
Ps. ลองคิดดูกับข้อความนี้
P : แม่งวันนี้เหนื่อยๆ เครียดว่ะ
M : อะนะ
P : วันนี้พยายามซ้อมเพลงต่อแต่สมองมันไม่ไหลเลย
M : กำ
P : เึครียดเรื่องน้องด้วยนี่สิ ไหนจะวันนี้โง่ประตูห้องน้ำข่วนเท้าอีก
M : อะนะ
P : แดกขี้แล้วไปนอนไป
M : ...
กุละเซ็งแม่ง
No comments:
Post a Comment