อีกความประทับใจกับมือเบสสุดเท่ห์ ^^ ที่ดูเหมือนจะได้ใจของสาวๆชาวไทยไปหลายคน (แม่บ้านเค้าเยอะจริงๆ) ^O^...(คิกๆๆๆ) ก็พี่เค้าเก่ง เท่ห์หล่อ ขี้เล่น...ฯลฯ...โอย~ ไล่ทั้งวันคงไม่หมดแหงๆ เอาบทสัมภาษณ์เก่าที่ประทับใจมาให้ประทับใจกันอีกครั้ง...ลองอ่านดูกันอีก แล้วต้องรักมือเบสคนนี้อีกเป็นกระบุงเลยล่ะ ^v^

++ก่อนอื่นอยากจะถามถึงโอกาสที่ทำให้ได้มาเล่นดนตรี++
โทชิยะ: ช่วงเทศกาลอยู่มอปลายปี 2 ตอนนั้นผมก็เริ่มที่จะทำวงแล้วนะ ตอนนั้นเวลาที่ไปดูไลฟ์ของวงอื่นก็จะคิดว่า "ถ้าได้แสดงใน Livehouse อย่างพวกนั้นบ้างก็คงจะดีนะ" หลังจากนั้นก็เลยกลายเป็นความใฝ่ฝันไปเลยว่าอยากจะทำวง indies กับเค้าบ้าง ซึ่งวงตอนมอปลายน่ะเหรอ? อืม....Kisaragi ครับ (หัวเราะแบบเขินๆ)
++ใน Episode Tour ความคิดเห็นของไลฟ์ที่บูโดกังวันที่ 2 พฤศจิกายน (ปี 1998) เป็นอย่างไรบ้าง++
โทชิยะ: ในบทสัมภาษณ์ของนิตยสาร ก่อนที่จะขึ้นไลฟ์ผมก็บอกว่า "ไม่ค่อยเครียดเท่าไร" แต่ก่อนหน้านั้นสิมันตื่นเต้นมากๆเลยนะ นอกจากนี้ในวันนั้นหลังจากจบไลฟ์ ผมก็ยังหัวเราะเสียงดังไม่ยอมหยุดอีกด้วย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไร (เอิ๊กๆ นึกสภาพพี่แกออกเลยอะ)
++งานพิเศษที่น่าประทับใจตั้งแต่ที่ได้ทำมาจนถึงตอนนี้คืออะไร?++
โทชิยะ: งานพิเศษผมมักจะเป็นแบบสบายๆอย่างเช่น แค่แจกซองขนมตัวอย่างในวันปีใหม่เป็นต้น หลังจากนั้นผมก็ลองไปทำที่ร้านซูชิในห้างดูบ้าง เป็นคนหั่น "มากิซูชิ" แจกคนที่มาลองชิม แต่ว่าในแบบสอบถามสำหรับลูกค้าก็ถูกเขียนตำหนิมาว่า "ผมของพี่ชายควรตัดซะบ้างนะ เพราะแบบนี้มันดูไม่เรียบร้อยเลย" (หัวเราะ)
++รู้สึกว่าห้องของตัวเองตอนนี้เป็นอย่างไร++
โทชิยะ: บ้านเกิดของผมอยู่ Nagano ตอนนี้ที่ห้องก็ดูปกติดีนะ แต่ถ้าสกปรกก็จะเป็นประเภทที่จะทำความสะอาดอย่างหมดจดเลยนะ ^^;
++ผู้หญิงใบแบบที่ชอบเป็นแบบไหน++
โทชิยะ: คุณโนริโกะ ซาไก ก็เป็นแบบที่ผมใฝ่ฝันเลยนะ "รู้สึกประมาณว่าเป็นคนที่วิเศษอะไรอย่างนี้" เลยล่ะ แต่ในความเป็นจริงก็อาจจะมีเยอะนะ ผมชอบคบกับคนที่เข้มแข็งนะ
++ความฝันในตอนเด็กๆคืออะไร?++
โทชิยะ: ผมเป็นเด็กที่ไม่มีความฝันหรอกนะ แต่เท่าที่ได้อ่านเรื่องราวของตัวเองที่เคยเขียนไว้ตอนยังเป็นเด็กๆ ในนั้นผมเขียนไว้ว่า "อยากจะเป็นพนักงานกินเงินเดือนเหมือนคุณพ่อ" (หัวเราะ)
++โอกาสที่ทำให้ได้เริ่มหัดแต่งหน้ากับเครื่องสำอางค์ที่ใช้ประจำคือเมื่อไหร่ และความมั่นใจในเรื่องหน้าตาของตัวเองล่ะ ?++
โทชิยะ: ตอนอยู่มอปลายปี 1 ตอนนั้นได้เห็นหน้าปกนิตยสาร [Shoxx] ซึ่งเป็นภาพของ Hide san กับ TUSK san (ตอนนั้น TUSK เป็นนักร้องของวง Zi-Kill) ผมประทับใจกับความสวยงามแบบนั้นเข้าอย่างจังเลย จากนั้นก็เลยลองใช้เครื่องสำอางค์ของคุณแม่แต่งหน้าตัวเองดู แต่พูดได้เลยล่ะว่า "อย่างกับหมีแพนด้าแน่ะ!" (หัวเราะ)
++บทบาทของตัวเองในวง++
โทชิยะ: ผม...เป็นคนที่ไม่ค่อยฟังคนอื่นพูดซักเท่าไร
++เวลาว่างจะทำอะไร++
โทชิยะ: ผมไม่นอนก็ไปดูหนังมีอยู่ 2 อย่าง ....ชอบดูหนังญี่ปุ่นมากๆ แล้วก็ชอบหนังประเภทไซโค (โรคจิต) กับหนังสยองขวัญ
++สิ่งที่เปลี่ยนไปตั้งแต่เริ่มเซ็นต์สัญญากับทางต้นสังกัดเพื่อเป็นวงเมเจอร์++
โทชิยะ: ผมเคยสัญญากับพ่อแม่เอาไว้ว่าถ้าทำวงไปถึงจุดหนึ่งแล้วไม่ดีขึ้นก็จะเลิก แต่ว่าตอนนี้เหมือนกับเคลียร์ด่านมาได้แล้วละ และสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปก็คือจากนี้
.............................................................
+ของผมต้องรถบังคับวิทยุ+
โทชิยะ: ของที่ผมกำลังคลั่งไคล้อยู่ตอนนี้คือรถบังคับวิทยุครับ!(แล้วตอนนี้จะคลั่งอะไรหว่า ^^;) ผมซื้อมาตอนอัดเสียงวันสุดท้ายซื้อมาแล้วก็พาไปที่สตูดิโอด้วยเลย พอทุกคนเห็นก็พากันรุมเล่นกันอย่างสนุกสนาน ผมเลยบอกไปว่า "งั้นคราวหน้าก็ซื้อมาเล่นด้วยกันทุกคนเลยนะ" สงสัยเจ้าพวกนั้นก็คงไปซื้อกันมาแล้วแน่เลยล่ะ (หัวเราะ)
ที่สตูดิโอ เวลาที่มีเวลาว่างก็มักจะหาอะไรสนุกๆมาเล่นน่ะครับ ตอนเด็กๆผมเคยคิดว่า "ถ้ามีรถบังคับวิทยุคันใหญ่ก็คงจะดีใช่มั้ยล่ะ" เด็กผู้ชายก็ต้องรถบังคับวิทยุนี่ล่ะนะ พอโตขึ้นมาก็เลยต้องทำความฝันเป็นจริงซะหน่อย (พูดซะน่ารักเลยอ่ะ ^o^) ก็แหม! ตอนนี้ผมมีโอกาสแล้วนี่ (หัวเราะ) ก็เลยได้ไปซื้อเจ้านี่มายังไงล่ะ รถที่ซื้อมาเป็น Beatle สีแดง เพราะถ้าพูดถึง Beatle ล่ะก็ต้องเป็นสีแดงกับสีเงินสิถึงจะสวย อันที่จริงผมก็ชอบสีเงินมากกว่านะ แต่เพราะว่ามันขายหมดไปแล้วก็เลยได้สีแดงมาน่ะ (หัวเราะแบบฝืดๆ)
ของอีกอย่างที่อยากได้คือ เครื่องบินบังคับวิทยุที่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน 10,000 เยนครับ อย่างพวกรถเนี่ยมีการทำ body ด้วยโฟมใช่มั้ยล่ะ แต่เครื่องบินนี่ยังไม่มีใครทำเลย แล้วยิ่งถ้าซื้อได้ในราคา 10,000 เยนล่ะก็มันคงน่าสนใจมากเลยนะผมว่า
ส่วนเหตุผลที่ผมอย่างได้เครื่องบินบังคับวิทยุก็เพราะอย่างแรง มันเป็นการบังคับที่ยาก แล้วก็มีดีไซด์ที่สวย ที่สำคัญจะได้เอาไว้เล่นเวลาว่างๆไงล่ะ คงเป็นสามข้อนี่ล่ะที่ผมสนใจ อ๊ะ! ...แล้วก็อยากจะบังคับให้ได้เก่งๆเหมือนกับที่เป็นโปรในการบังคับด้วยครับ
.............................................................
~การแตกสลาย~
ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เคยลืมเรื่องสำคัญหรือเปล่า? เรื่องที่ไม่เคยนึกถึงหรือ เรื่องที่เพิกเฉยไปน่ะจะไม่มีบ้างเลยเหรอ ? การที่จู่ๆเรื่องที่รู้สึกเศร้าเข้ามาในหัวเรา เรื่องแบบนั้นน่ะมันอัดแน่นอยู่ในใจของเราเกินไปงั้นเหรอ ? ปัญหาสังคม...ปัญหาของตัวเอง...ลองมาคิดไปพร้อมๆกับโทชิยะดีกว่านะ
เพราะว่าต้องออกทัวร์หลายที่ ในระหว่างที่เดินทางก็เลยมีเวลาว่างมาก ช่วงนั้นก็เลยถือโอกาสนั่งอ่านหนังสือไปพลางๆ staff ที่เห็นท่าทางของผมในตอนนั้นก็พูดว่า "ไม่คาดคิดเลยนะว่าโทชิยะจะอ่านหนังสือน่ะ" และตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยมีคำพูดที่ว่า "คนหนุ่มสาวสมัยนี้สูญเสียพลังในการจินตนาการไปเพราะไม่อ่านหนังสือ" (ถูกต้องเลยพี่โทชิยะ) คนหนุ่มสาวสมัยนี้สูญเสียพลังในการจินตนาการไปเพราะไม่ออ่านหนังสือผุดขึ้นมาในหัวสมองของผม เพราะว่าทุกคนเอาแต่ดูรูปภาพที่ปรากฏบนจอน่ะสินะ ดังนั้นจึงทำให้มีจินตนาการลดลงเรื่อยๆ อย่างหนังเรื่องเดิม (ที่มีการนำมาดัดแปลงทำใหม่) ก็จะน่าสนใจกว่าหนังทั่วไปไม่ใช่เหรอ ? หนังแต่ละเรื่องมีการจำกัดเวลาและเงินงบประมาณในการสร้าง แต่เวลาที่อ่านหนังสือเราสามารถสร้าง Image ได้ตามใจชอบของตัวเองโดยอิสระมากกว่านี่นะ อย่างพระเอกนางและนางเอกที่จะต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ ล้วนแต่เป็นการคิดของเราเอง พลังใจในการจินตนาการน่ะมันไม่มีที่สิ้นสุดนี่นะ แล้วจนถึงตอนนี้ก็มีคำพูดมากมายปรากฏออกมาว่า "ในสมัยนี้ พวกเรื่องอาชญากรรมนั้นส่วนใหญ่ก็มักจะมาจากคนที่อายุระหว่าง 10 - 19 ปีทั้งนั้น เพราะพวกเค้าน่ะต่างไม่มีพลังในการจินตนาการไม่ใช่เหรอ?" ดังนั้นจึงกระทำเรื่องต่างๆออกไปก่อนที่จะคิด การที่ทำอะไรไปโดยไม่มีการทบทวนจึงเป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมที่มากมายในตอนนี้
...ผมน่ะคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียใจและน่าสลดออกนะ รูปถ่ายของผม (ที่ประกอบในหน้านี้)

ก็คิดว่าเป็นรูปธรรมดาๆเท่านั้น แล้วพวกคุณล่ะคิดกันอย่างไรบ้าง ? การลงเรื่องเป็นตอนๆของผมน่ะกำลังจะเริ่มต่อจากนี้ไปนะ และตอนนี้ผมก็กำลังคิดถึง Image ของทุกๆคนอยู่ คิดไปคิดมาจนตอนนี้ผมน่ะชักเพ้อเจ้อเข้าไปทุกทีแล้ว ^-^
.......................................................
++เพื่อน++
โทชิยะ : "เกลียดหมอนั่นมากๆเลย แต่กลับกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนะ ตอนอยู่ชั้นประถมหมอนั่นจับตัวด้วงมาอวด และพูดว่า (เจ๋งใช่มั้ยล่ะ!!) "
ตอนนั้นผมก็บอกว่า (ดีจังนะ...อ๊ะ! ดูสิๆ) เอาตัวด้วงนั้นไปไล่หลอกเจ้าคนที่จับได้ แบบไม่ให้ตั้งตัว แล้วหมอนั่นก็ตกใจ และหยิบด้วงนั้นขว้างทิ้งทันทีเลยล่ะ แถมยังวิ่งไล่ตามทุบผมทั้งๆที่ตัวเองยังร้องไห้อยู่อีกด้วยนะ (หัวเราะ
ตั้งแต่นั้นก็เกลียดเรื่องแบบนี้มาโดยตลอดเลยล่ะ แต่ดูเหมือนว่าทางฝ่ายโน้นก็คงจะไม่ชอบผมเอามากๆเหมือนกันนะ และพอเข้าชั้นมัธยมต้น เพราะว่าต้องทำกิจกรรมชมรมเหมือนกัน ก็เลยได้คุยกันและกลายเป็นเพื่อนซี้กันในที่สุดครับ ที่เกลียดหมอนั่นอาจเป็นเพราะเค้าคล้ายกับตัวผม และในขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามก็จะเข้าใจเรื่องของผมมากที่สุดด้วย เราจะทำเรื่องไม่ดีด้วยกัน และจะมีความลับร่วมกันจนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนได้ เพราะตอนเด็กๆชอบเรื่องที่เป็นความลับน่ะนะ มันรู้สึกว่ามีความลับแล้วเท่ห์ดีทำนองนั้น(หัวเราะ)
ตอนมัธยมต้นปี 2 จะอยู่กับเพื่อนแค่ 2 คนเสมอๆเลยครับ ในตอนเช้าพอจะไปโรงเรียนก็จะบอกว่า (ไปล่ะนะครับ) แล้วก็ไปที่บ้านของหมอนั่นต่อ และเพราะในช่วงเช้าพ่อแม่ของหมอนั่นต้องออกไปทำงานที่บริษัท ระหว่างที่พวกเค้ายังไม่ออกไปนั้นผมก็เลยต้องไปนั่งคอยที่สวยใกล้ๆบ้านตลอดเลย พอถึงเวลากลางวันคุณแม่ของหมอนั่นก็จะกลับมาทานข้าวที่บ้าน ถ้าพวกผมโดดเรียนก็จะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในตู้ (ที่ใส่ผ้าห่ม ฟูก) จนกว่าคุณแม่จะกลับไปทำงานนั่นแหล่ะ (ความจริงแล้วที่ผมเริ่มสนใจดนตรีก็เพราะพี่ชายของหมอนั่นกำลังเล่นกีต้าร์อยู่ด้วยล่ะนะ)
ในห้องเรียนเนี่ยผมกับหมอนั่นจะเกเรและโดดเรียนบ่อยมาก ทางฝ่ายคุณพ่อของผมก็จะบอกว่า "เลิกคบได้แล้วเพื่อนแบบนั้น" ช่วงที่เค้าพูดแบบนั้นผมหัวเสียมากเลยนะ เพราะว่าหมอนั่นถึงแม้จะเกเรไปบ้าง แต่สำหรับผมแล้วเค้าก็คือเพื่อนที่ดีมากๆนั่นเอง ผมเป็นคนที่ได้ความรักจากเพื่อนๆเสมอ ถ้าผมคิดว่าตัวเองคือเพื่อนของผมนั้น หมอนั่นก็คือเพื่อนของผม...แต่จริงๆก็ไม่รู้หรอกนะว่าฝ่ายนั้นคิดยังไงกับผมน่ะ (หัวเราะ)
สมาชิกในวง Dir en grey เป็นเพื่อนหรือเปล่าน่ะเหรอ มันไม่ใช่ระดับเพื่อนแต่มันเป็นโชคชะตาร่วมกันนะ ถ้าเป็นเพื่อนประเภทนี้ ก็จะเป็นเพื่อนที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันตลอดไปไงครับ!....
++ได้ข้อคิดดีๆจากความหมายของคำว่าเพื่อน จากผู้ชายที่ชื่อโทชิยะเยอะเลยนะเนี่ย....ประทับใจจัง++
......................................
つづく
No comments:
Post a Comment