Toshiya Dir en grey II

~โชคชะตา~

Photobucket

ครั้งนี้โทชิยะปรากฏตัวในรูปแบบใหม่ด้วยการไม่ใส่แว่นตา และชุดไปรเวท ทำให้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเค้าชัดเจนขึ้น และต่อจากนี้เราก็ให้เค้าได้เล่าเรื่อง "เกี่ยวกับชีวิต และสิ่งที่ตัวเองอยากทำ" ให้พวกเราได้รู้กัน

ตอนที่เป็นนักเรียนน่ะผมเรียนไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไรหรอกนะ ก็เลยคิดอยากจะทำงานเลยมากกว่าการเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมปลาย และช่วงวันหยุดฤดูร้อนของปีนั้นก็เลยลองไไปทำงานที่ต้องใช้่แรงงานดู (งานก่อสร้างถนน) แต่พอดีจู่ๆผมก็เกิดไม่สบายขึ้นมาในวันที่จะต้องทำงานดังนั้น

ทั้งๆที่รู้สึกเหมือนว่างานจะเบา แต่ก็ยังทำไม่ได้ แต่ผมน่ะไม่ใช่ว่าคิดแค่อยากจะทำเล่นๆหรอกนะ เมื่อเป็นแบบนั้นผมก็เลยตัดสินใจที่จะเข้าเรียนม.ปลายต่อ เผื่อว่าซักวันผมอาจจะตค้นหาสิ่งที่อยากทำได้ในช่วงชีวิตที่เป็นนักเรียนม.ปลายนั้น และในที่สุดผมก็ได้มาพบกับดนตรี ตอนที่ได้ยืนอยู่บนเวทีน่ะเป็นเรื่องที่สนุดอย่างบอกไม่ถูก เป็นอะไรที่ผมคิดว่าไม่ได้เคยได้สัมผัสมาก่อน แต่ก็คิดนะว่าผมน่ะจะเลือกเดินไปในทางดนตรีอย่างเดียวเลยดีมั้ย ? ตอนนั้นก็ยังไม่คิดว่าจะจริงจังอะไรขนาดนี้หรอกนะ เพราะผมเองก็ไม่มีความมั่นใจในเรื่องนั้นเลยต่างหากล่ะ

และก่อนที่จะจบการศึกษาผมก็คิดว่า "ผมควรจะเลือกดนตรี เพราะว่ามันคือสิ่งที่ผมชอบ หรือว่าผมควรจะเลือกที่จะเข้าทำงานแบบคนปกติทั่วไปดี" แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนผมก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้สักทาง เพราะว่าเป็นคนที่ชอบการวาดภาพ ดังนั้นเมื่อจบม.ปลาย จึงเลือกที่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนเฉพาะด้าน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมกระตือรือร้นอะไรขึ้นมาเลย...แต่ก็ไม่ใช่เพราะว่าผมโลเลและไม่เลือกทางไหนเลยหรอกนะชั่วโมงเรียนในห้องนั้นไม่น่าสนใจเอาซะเลย ทั้งๆที่ผมมักจะวาดแต่ภาพที่ชอบ แต่ในชั่วโมงเรียนกลับต้องมานั่งเรียนแต่หลักพื้นฐานต่างๆเกี่ยวกับศิลปะการบ้านก็เยอะมาก ..."ผมน่ะเป็นคนเรียบร้อยนะ" ^ ^

นอกจากนี้พอมองจากรู่นพี่ที่จบไปแล้วก็เลยคิดว่า "ถ้าหากตัวเองจบออกไปก็คงจะต้องทำอาชีพเดียวกันกับพวกเค้าล่ะมั้ง" เพราะทั้งภาพและการออกแบบที่เห็นอยู่ทั่วไปทุกวันนี้นั้นไม่แตกต่างกันเลยสักนิด (ธุรกิจการออกแบบมักจะมีแนวโน้มที่ออกไปในทางเดียวกัน ตามแบบที่ตลาดต้องการ) และถึงแม้ว่าจะไปโรงเรียนตลอด ผมก็ยังคงคิดว่าอยากที่จะลาออก เพราะว่าการเรียนน่ะต้องใช้เงินค่อนข้างมาก ผมคิดว่าเงินพวกนั้นถ้าเอาไปใช้ประโยชน์หรือทำอย่างอื่นที่อยากจะทำได้มากกว่านี้ก็คงจะดี (เห็นมั้ยว่าผมน่ะ เรียบร้อยจริงๆน่ะ)

และพอพูดว่าจะลาออกวันรุ่งขึ้นจึงไปพบอาจารย์ใหญ่พร้อมๆกับคุณแม่ หลังจากนั้นก็ถูกถามว่า "แล้วจะลาออกจริงๆน่ะเหรอ?"...ตอนที่อยู่ในรถระหว่างทางกลับบ้านผมก็ทะเลาะกับคุณแม่ด้วยนะ ท่านบอก "พูดอย่างนี้ไม่มีเหตุผลเลยนะ!" ในเมื่อผมต้องทำในเรื่องที่ผมไม่ได้เป็นคนออกปากเองมาโดยตลอดเนี่ยนะ มาถึงตอนนี้คนที่พูดว่า "จะลองเรียนที่โรงเรียนเฉพาะด้านดูมั้ย ?" ก็เป็นคุณแม่ไม่ใช่เหรอที่เป็นคนพูดน่ะ! (สรุปว่าผมเป็นคนที่เรียบร้อยที่สุดหรือแย่ที่สุดกันแน่นะ!)

สำหรับผมก็เลยเป็นจุดที่จะต้องแยกจากกัน (กับคนในครอบครัว) จริงๆ เรื่องที่จะต้องตื่นในตอนเช้าและการตัดสินใจด้วยตัวคนเดียวก็เริ่มนับจากนั้น และในตอนนั้นผมคิดว่าจะตั้งใจเล่นดนตรีอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ก็เลยตัดสินใจที่จะไปอยู่โตเกียว ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำมาหากินอะไรได้จากการเล่นดนตรีหรอกนะ แต่ว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้

หลังจากที่ยุบวง (เก่า) ก็กลับไปที่ Nagano ประมาณอาทิตย์หนึ่งเพื่อเข้าร่วมงานพิธีฉลองวันบรรลุนิติภาวะ และจากนั้นก็กลับมารวมกับสมาชิกคนอื่นๆในวง Dir en grey อีกครั้งเพื่อไปแสดงที่ Osaka

การทำวง Dir en grey ได้นั้นก็เพราะผมส่งใบสัญญาให้กับพ่อแม่ไปหรอกนะ ในนั้นเขียนเอาไว้ว่า "ถ้าไม่ดังภายใน 3 ปี ก็จะกลับไปทำงานที่ Nagano ตามที่คุณพ่อต้องการ" และก็พิมพ์ลายนิ้วมือลงไปด้วย ^^
...ดังนั้นผมจึงคิดว่าภายใน 3 ปีนี้ ก็จะตั้งใจทำเพื่อจะได้กำหนดโชคชะตาของตัวเองได้ด้วยด้วยตัวเอง ในเมื่อตั้งใจอย่างนั้นแล้ว ผมเชื่อว่ามันจะต้องไม่เปล่าประโยชน์แน่ๆ

ถ้าตัวเองคิดว่ามันเกินกำลัง มันก็เกินกำลัง แต่ถ้าตัวเองคิดว่าจะทำมันให้ได้ก็ต้องทำได้แน่ๆ ไม่ว่าอะไรผมก็ต้องทำให้ได้ ผมเป็นคนแบบนั้นล่ะ


Photobucket

...............


สุดยอดเลยเนอะพี่โทชิยะเนี่ย...^o^ แต่จะมีสักกี่คนกันล่ะที่สามารถกำหนดโชคชะตาของตัวเองได้ และประสบความสำเร็จในชีวิตแบบพวกเค้า มีน้อยเหลือเกิน...เพราะบางคนก็ล้มเลิกสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็น สิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองฝันไปกลางคัน น่าเสียดายเหมือนกันเนอะ...ชีวิตนี้เกิดมาแล้วก็ตาย แต่อย่างน้อยถ้าได้ทำสิ่งที่ฝันให้บรรลุได้ก่อนจะหมดลมหายใจนี่ ก็ถือว่าคุ้มแล้วนะที่ได้เกิดมา ถึงแม้จะประสบความสำเร็จช้า (T-T เหมือนชีวิต XPD) แต่ถ้าไม่ยอมแพ้ซะอย่าง สักวันต้องเป็นของเราแน่ๆเลย...สักวันหนึ่ง!

No comments: